เคยสังเกตไหมครับว่ากลยุทธ์การตลาดนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา วิธีที่เคยใช้ได้ผลก็อาจไม่เวิร์คแล้วในตอนนี้ ดังนั้นคงจะดีกว่าถ้าเราทำความเข้าใจใหม่ในหลักคิดพื้นฐานการตลาด เพื่อหลีกเลี่ยงกับการเสียเงินในวิธีที่ไม่ได้ผล ทำให้เราหมดงบประมาณโฆษณาไปแบบเสียเปล่า
วันนี้นินจาการตลาดจะพาเพื่อนๆ ไปเรียนรู้กับคำแนะนำในเรื่อง 7 แนวคิดการตลาดพื้นฐานที่ชาว SME ต้องรู้ไว้ อาจจะเป็นหลักการที่ตรงใจและมีประโยชน์กับใครหลายๆ คน เราไปอ่านกันเลยครับ
1. การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคจะยิ่งมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น
.
ผู้บริโภคหรือลูกค้าจะใช้สื่อทุกประเภท ทุกแพลตฟอร์มเลยนะครับ ในการพิจารณาหาข้อมูลเพื่อจะตัดสินใจซื้อสินค้า ดังนั้นการจะทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าของเราจะยากมากขึ้น Segment ของลูกค้าจะแยกย่อยและซับซ้อนมากกว่าเดิม คือ ลูกค้าคนเดียวกันสามารถจ่ายได้ทั้งของแพงสุดๆ และถูกสุดๆ ในเวลาเดียวกัน
.
เช่น ลูกค้าบินแอร์เอเชียราคาประหยัดจากไทยไปอิตาลีเพื่อซื้อกระเป๋ากุชชี่ นั่นหมายความว่าลูกค้ามีแนวโน้มซื้อสินค้าโดยที่เหตุผลและอารมณ์ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกัน ยอมเสียเงินเยอะๆ ให้ได้กระเป๋าหรูแบรนด์เนม แต่ไม่จำเป็นต้องบินด้วยชั้นโดยสารราคาแพง
2. การออกแบบสินค้าและการสื่อสารส่วนบุคคลจะแพร่หลายยิ่งขึ้น
.
ด้วยการเก็บข้อมูล Big Data, โซเชี่ยมีเดีย และการผลิตสินค้าที่ยืดหยุ่นมากขึ้น หลายแบรนด์บริษัทกำลังเรียนรู้ที่จะนำเสนอสินค้าที่มีดีไซน์เฉพาะส่วนบุคคล และอาจรวมไปถึงสินค้าสายสุขภาพ
.
ตัวอย่างเช่นบริษัทร้านขายยาต่างๆ จะจำหน่ายยาที่มีความเฉพาะบุคคล โดยมีเกณฑ์จำแนกอย่างอายุ, เพศ, น้ำหนัก และประวัติการใช้ยา แน่นอนว่าสินค้าประเภทอื่นๆ ก็คงจะเอาอย่างเทรนด์นี้ด้วยเช่นกัน
3. การสื่อสารบนมือถือเป็นศูนย์กลางของการตลาด
.
เรารู้กันอยู่แล้วว่ามือถือคืออันดับ 1 ของการโฆษณาและสร้างยอดขาย ทุกแพลตฟอร์มพยายามทำให้ตัวเองกลายเป็นเครื่องมือการตลาดที่ส่งโฆษณาตรงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด ดังนั้นแบรนด์บริษัทต่างๆ จะยิ่งทวีการสื่อสารกับผู้บริโภคบนมือถือมากขึ้นเรื่อยๆ
4. ความโปร่งใสของแบรนด์กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
.
เดี๋ยวนี้แบรนด์บริษัทไหนทำอะไรไม่จริงใจตรงไปตรงมากับลูกค้า คุณเสียหายยับแน่นอน เพราะบนโซเชี่ยลมีเดียทุกเรื่องที่ไม่ดีจะอยู่ในระบบเป็น Digital Footprint ถูกส่งต่อบอกต่ออย่างรวดเร็ว และแน่นอนเราจะเสีย Brand Loyalty ไปจากลูกค้าด้วยเช่นกัน
5. การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลส่วนบุคคลต้องเป็นมิตรมากขึ้น
.
ด้วยข้อมูล Big Data แบรนด์บริษัทต่างๆ สามารถเรียนรู้ลูกค้าและสิ่งที่ลูกค้าชอบได้มากขึ้น ก็จะยิ่งกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ชัดขึ้นอีก และสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
.
นั่นหมายความว่าแบรนด์ต้องเลิกส่งข้อความแบบสแปมก็อปวางได้แล้ว หยุดส่งข้อความชุดเดียวให้กับทุกคนหรือน้อยลง แล้วเริ่มสื่อสารด้วยข้อความที่เฉพาะบุคคลจะชนะใจลูกค้ามากกว่า
6. ตัวชี้วัดแคมเปญที่แม่นยำมีให้เห็นเยอะขึ้น
.
การวัดผลลัพธ์ของแคมเปญคือความท้าทายที่สำคัญสุดของนักการตลาด เดี๋ยวนี้มีหลายวิธี หลาย Metric ให้เราได้วัดความสำเร็จของกิจกรรมออนไลน์ เช่น จำนวนยอดไลค์บนเฟสบุ๊ค จำนวนการคลิกอ่านบทความ แต่หลายๆ ตัวชี้วัดก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเท่าไร
.
นักการตลาดหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่างบโฆษณาครึ่งหนึ่งที่เสียไปเกิดจากอะไร ตอนนี้การวัดผลอาจยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เทคโนโลยีและ AI ต่างๆ กำลังปรับปรุงให้ดีขึ้น อีกหน่อยเราจะรู้ Journey ที่แน่นอนของคนที่คลิกหรือชมแอดโฆษณา ไปจนถึงขั้นจ่ายเงินเพื่อซื้อของในที่สุด
7. บริษัทการตลาดเปลี่ยนจากการแยกส่วน ไปสู่ความเป็นทีมมากขึ้น
.
ในอดีตไม่กี่ปีที่ผ่านมา เอเยนซี่การตลาดมักจะแบ่งเป็นดิจิทัลทีมหนึ่งและการตลาดอีกทีมหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้อีกแล้ว ทั้งสองส่วนต้องทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์
.
โดมินิค ตูร์แปง นักการตลาดของ IMD แนะนำว่าสิ่งที่เราต้องรู้จริงๆ คือการนำองค์ประกอบการตลาดออนไลน์ มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับการตัดสินใจซื้อที่ซับซ้อนของลูกค้าจะให้ผลที่ดีกว่า
ใครอ่านจบถึงข้อสุดท้าย รู้แล้วนะว่าพื้นฐานการตลาดตอนนี้มีอะไรบ้าง ข้อไหนที่ยังไม่เริ่ม เริ่มทำได้เลยครับ ปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้ทันลูกค้า แล้วผลลัพธ์โฆษณาจะเปลี่ยนไป ใครทำตามได้ผลอย่างไร บอกเล่าให้เราฟังในคอมเมนต์ได้นะ