ใครจำได้บ้างครับว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเห็นร้านหมาล่าสายพานผุดขึ้นมาเกลื่อนเมือง แต่ช่วงหลังๆ มานี่ดูเหมือนกระแสมันจะเริ่มซาลงแล้วนะ หรือว่าถึงคราวขาลงของ “หมาล่าสายพาน” แล้วล่ะ? เรามาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจนี้ และอนาคตมันจะเป็นยังไงต่อไป
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็น “ปีแห่งหมาล่า” เลยก็ว่าได้ LINEMAN WONGNAI เผยว่ามีออเดอร์หมาล่าทะลุ 1 ล้านออเดอร์ เติบโตขึ้นถึง 45% เทียบกับปีก่อนหน้า แถมยังเป็นหนึ่งใน Segment ร้านอาหารที่โตแรงที่สุดอีกด้วย ไม่แปลกใจเลยที่เราเห็นร้านหมาล่าผุดขึ้นมาทุกหัวมุมถนน
แต่รู้มั้ยครับว่า สิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากที่สุดสำหรับร้านหมาล่า ไม่ใช่น้ำซุปหรือระยะเวลารอคิว แต่เป็น “น้ำจิ้ม” ต่างหาก ข้อมูลนี้ทำให้แม้แต่ห้างใหญ่อย่างแม็คโคร ยังต้องหันมาพัฒนาน้ำซุปและน้ำจิ้มสำหรับชาบูหมาล่าโดยเฉพาะเลย
.
ทีนี้ มาดูกันว่าทำไมร้านหมาล่าสายพานถึงเริ่มซบเซาลง นินจาการตลาดมองว่ามันเป็นเรื่องปกติของทุกธุรกิจที่จะมีขึ้นมีลง เหมือนกับกระแสชานมไข่มุกที่เคยฮิตมาก่อน แต่ตอนนี้ก็นิ่งเงียบไปแล้ว ร้านที่อยู่ได้คือร้านที่มีแนวทางชัดเจนของตัวเอง
.
แล้วร้านหมาล่าแบบไหนล่ะที่จะอยู่รอด? คำตอบคือร้านที่จัดการ “Operation cost” ได้ดี และยังมีสภาพคล่องทางการเงินเหมือนเดิม นี่แหละครับที่ทำให้หลายร้านต้องปรับตัว จากที่เคยขายแบบอะลาคาร์ต ก็เปลี่ยนเป็นบุฟเฟ่ต์ หรือให้น้ำซุปน้ำจิ้มฟรี เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ามากขึ้น
ที่น่าสนใจคือยุคแรกๆ หมาล่าสายพานดึงดูดลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่ทำให้รู้สึก “ชนะระหว่างทาง” ด้วยราคาจับต้องได้ไม้ละ 5-10 บาท แต่พอกินไปกินมา อาจจะจ่ายมากกว่ากินบุฟเฟ่ต์ซะอีก นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้กระแสเริ่มซาลง
.
นินจาการตลาดมองว่า ร้านหมาล่าที่จะยืนระยะได้ต้องมีอยู่ 2 ปัจจัย คือ 1.รสชาติดี และ 2. ราคาสมเหตุสมผล แต่ยังไงก็ตามบุฟเฟ่ต์ยังคงเป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์คนไทยมากที่สุด เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มีรายได้สูง การกินบุฟเฟ่ต์ทำให้รู้สึกคุ้มค่ากว่า เพราะไม่ต้องมารู้สึกเสียดายเงินทีหลัง
.
แต่รู้มั้ยครับ ไม่ใช่แค่หมาล่าสายพานนะที่กำลังเจอความท้าทาย ร้าน SME อาหารไทยหลายรายก็ต้องปรับตัวกันสุดๆ เพื่อความอยู่รอด แล้วเราจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเรื่องนี้? ลองมาดูกัน!
.
อย่างแรกเลย เราต้องเข้าใจว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ยิ่งยุคนี้ด้วยแล้ว ต้องตามให้ทัน! อย่างที่เห็นกันชัดๆ คือคนไทยยังชอบบุฟเฟ่ต์อยู่ เพราะมันตอบโจทย์ทั้งเรื่องความคุ้มค่าและความหลากหลาย
.
ทีนี้ ลองมาดูตัวอย่างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จกันบ้างดีกว่า อย่าง “สุกี้ตี๋น้อย” เจ้านี้เขาเจาะกลุ่ม Mass เลยนะ ราคาเริ่มต้นแค่ 219+ บาท แถมยังมีคอนเซ็ปต์ “อร่อยได้ไม่อั้นตั้งแต่เที่ยงวันยันเช้า” ซึ่งตอบโจทย์คนไทยสุดๆ ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้มีตั้ง 42 สาขาทั่วประเทศ
.
ส่วนอีกแบรนด์ที่น่าสนใจคือ “Mo-Mo-Paradise” เขาเล่นกลยุทธ์แบบ Premium เลย เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน นำเสนอชาบูสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ วัตถุดิบพรีเมี่ยม บริการใส่ใจทุกรายละเอียด แบบนี้ก็ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าเหมือนกัน ถึงราคาจะสูงหน่อยก็ยอม
แล้วเราจะเอาอะไรไปใช้ได้บ้างกับธุรกิจร้านอาหาร SME ของตัวเอง? ผมว่ามีหลายอย่างเลยนะ
1. รู้จักลูกค้าให้ดี
.
เข้าใจลูกค้าให้ทะลุปรุโปร่งเลย ทั้งเรื่องที่เขาชอบ อยากได้ และมีกำลังซื้อแค่ไหน สังเกตพฤติกรรมลูกค้า ฟังความเห็น แล้วเอามาวิเคราะห์ว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ
.
พอรู้แล้วก็เอามาปรับใช้ เสนอของที่ตรงใจลูกค้า ทำเมนูหรือสินค้าที่เขาชอบ ตั้งราคาให้เหมาะกับกำลังซื้อ จัดโปรโมชั่นที่เขาสนใจ แบบนี้ลูกค้าก็จะรู้สึกว่าเราเข้าใจเขาจริงๆ
2. ทำตัวให้แตกต่าง
.
หาจุดเด่นที่ทำให้ร้านเราโดดเด่นไม่เหมือนใคร อาจจะเป็นรสชาติอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ ราคาที่คุ้มค่าสุดๆ บรรยากาศที่ไม่มีใครเหมือน หรือบริการที่ประทับใจสุดๆ คิดให้ดีว่าอะไรที่เราทำได้ดีกว่าคนอื่น แล้วเน้นตรงนั้น
.
ทำให้คนจำร้านเราได้ง่ายๆ อาจจะสร้างมาสคอต ทำโลโก้เก๋ๆ คิดสโลแกนติดหู หรือทำอะไรที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร พอลูกค้านึกถึงจุดเด่นพวกนี้ปุ๊บ ก็ต้องนึกถึงร้านเราทันที
3. รักษาคุณภาพ
.
ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและเหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรสชาติอาหาร คุณภาพสินค้า หรือมาตรฐานการบริการ อย่าให้วันไหนดี วันไหนแย่ ต้องทำให้ลูกค้าวางใจได้ว่ามาเมื่อไหร่ก็ได้ของดีเหมือนเดิม
.
คุณภาพที่ดีและสม่ำเสมอจะทำให้ลูกค้าติดใจ อยากกลับมาใช้บริการซ้ำ และยังช่วยบอกต่อคนอื่นด้วย ปากต่อปากนี่แหละ การตลาดที่ดีที่สุด ถ้าทำได้ดี ลูกค้าจะช่วยโปรโมทร้านให้เราฟรีๆ เลย
4. พัฒนาอยู่เรื่อยๆ
.
คอยติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ในวงการ ดูว่าตลาดกำลังไปทางไหน ลูกค้าสนใจอะไร คู่แข่งทำอะไรใหม่ๆ บ้าง แล้วเอามาปรับใช้กับร้านเรา อย่าทำแบบเดิมๆ ซ้ำๆ จนน่าเบื่อ ต้องมีอะไรใหม่ๆ ให้ลูกค้าตื่นเต้นอยู่เสมอ
.
ปรับปรุงร้านให้ทันสมัยอยู่ตลอด ทั้งเรื่องเมนู การตกแต่ง เทคโนโลยี หรือวิธีให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางทีสิ่งที่เคยฮิตเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้อาจจะเชยไปแล้วก็ได้ ถ้าเราไม่ปรับตัว ก็อาจจะตามคนอื่นไม่ทัน
.
สุดท้ายนี้ สำหรับเจ้าของร้านอาหารหรือใครที่กำลังคิดจะเปิดร้าน อย่าท้อนะครับ จงมองความเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต มุ่งมั่นที่จะเข้าใจลูกค้า สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และรักษามาตรฐานคุณภาพไว้ให้ดี
จำไว้ว่าทุกธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ก็เริ่มจากจุดเล็กๆ ทั้งนั้น เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วเดินหน้าสร้างร้านอาหารในฝันของคุณต่อไปครับ
ใครที่อ่านเรื่องนี้จบแล้ว ยังชอบกินหมาล่าสายพานอยู่มั้ย หรือว่าเบื่อแล้ว แชร์ประสบการณ์ร้านหมาล่าสายพานที่คุณชอบในคอมเมนต์หน่อย บอกหน่อยว่าร้านแบบไหนที่จะอยู่รอดในยุคนี้ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้เลยนะครับ