LINE MyShop เป็น Service ใหม่ที่ LINE เพิ่งออกบริการมาให้กับคนไทยได้ใช้งานเมื่อไม่นานมานี้ จากพฤติกรรมของคนไทย ที่ชอบซื้อของออนไลน์เป็นอย่างมาก ทำให้ LINE เล็งเห็นถึงพฤติกรรมจุดนี้ของคนไทย ทำให้พัฒนา S-Commerce (Social Commerce) ของตัวเองขึ้นมา ที่เรียกว่า LINE MyShop
จะว่าไปแล้ว LINE MyShop จะไม่เรียกตัวเองว่าเป็น E-Commerce อย่างเต็มตัวซะทีเดียว ถึงแม้ฟีเจอร์ภายในจะออกแบบมาให้มีระบบตะกร้าสินค้า มีระบบคลังสินค้าที่ตัดสต๊อกได้ มีระบบการจ่ายเงินผ่านบัตร มีระบบการดูสถิติการซื้อหลังบ้าน ฯลฯ
.
ซึ่งถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์มาก แต่เป็นเพราะ LINEเป็นแอปที่ผู้คนนิยมไว้ใช้สื่อสารกันในสังคมออนไลน์ จึงทำให้ LINE มองว่า การเป็น S-Commerce น่าจะเป็น Segment ที่แข็งแรงเมื่อเทียบสู้กับ S-Commerce ที่ผู้คนเคยชินกันอย่าง Facebook หรือ Shopee
บางคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะยังแยกไม่ออกว่า S-Commerce กับ E-Commerce มันแตกต่างกันอย่างไร สรุปให้ง่าย ๆ แบบนี้นะครับ S-Commerce ก็คือ E-Commerce แต่ S-Commerce จะเป็น E-Commerce ที่ผู้คนในนั้นสามารถสื่อสารพูดคุยกันได้ หมายถึงเครื่องมือต้องออกแบบมาให้เป็นสังคมออนไลน์ และเป็นร้านค้าขายด้วย ซึ่ง ทั้ง Facebok, Shopee, LINE ก็ทำสิ่งนั้นได้ทั้งคู่ โดยเฉพาะ เมื่อ LINE เปิดตัว LINE MyShop ขึ้นมา ก็ยิ่งตอกย้ำความเป็น S-Commerce ที่เหนือกว่าคู่แข่งอื่น ๆ ไปไกล
เอาล่ะครับ ถึงนาทีนี้แล้ว เราคงอยากรู้กันแล้วว่า LINE MyShop จะดีขนาดไหน และ จะสามารถมาแทน Lazada หรือ Shopee ได้หรือไม่ ? บทความนี้ นินจา การตลาด จะมาจับเทียบปอนด์ต่อปอนด์ให้ได้รู้กันว่าใครดีกว่าใคร !
1. สิ่งที่ Lazada หรือ Shopee และ LINE MyShop มี
สิ่งที่ทั้งหมดมีเหมือนกันนั่นคือ หน้าของการเลือกสินค้า ที่มีให้เลือกสินค้า สี ไซซ์ ลักษณะ ราคาที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากเป็น E-Commerce Platform ที่ออกแบบตาม UX/UI ของพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ ดังนั้นแล้วถ้าสังเกตจากหน้าการใช้งานแล้ว จะพบว่าทั้งหมดจะหน้าตาไม่ต่างกันมากเท่าไหร่
ระบบการติดตามเลข Track หรือ การอัปสลิปต่าง ๆ ที่ใกล้เคียงกัน แต่จะแตกต่างกันที่ว่า LINE นั้นจะสามารถแจ้งเตือนมาที่ LINE ส่วนตัวได้เลย แต่ว่า Lazada หรือ Shopee นั้นต้องเข้าไปในแอป (หรือถ้าตั้ง Notification เอาไว้ก็จะแจ้งเตือนมาให้) เพื่อดูว่าเลข Track นั้นถูกอัปเดตแล้วหรือยัง
2. สิ่งที่ Shopee หรือ Lazada มี และ LINE MyShop ไม่มี
แคมเปญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น 11.11 หรือ 12.12 ที่มีสินค้าจากร้านอื่น ๆ ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อมากมาย และมีโอกาสเข้าถึงคนได้มากกว่าเป็นจำนวนมาก (แต่ก็ไม่เหมาะกับสินค้าที่ไม่ต้องการแข่งขันกันในเรื่องของราคา) หรือแม้กระทั่ง Flash Sale ที่จะสามารถกระตุ้นให้เกิดยอดขายได้ง่ายกว่าการที่ลูกค้าต้องมาพูดคุยสอบถามเยอะ ๆ และไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ทำให้อาจจะทำให้ลูกค้าลืมว่าเคยอยากได้นั่นเอง
แต่อย่าลืมว่า LINE ยังมีบริการอีกตัวที่เรียกว่า LINE Shopping มีแนวโน้มว่า ใครที่เปิดร้าน LINE MyShop และแต่งร้านค้าไว้ดี ๆ อาจจะถูกนำไปโปรโมทในช่องทางต่าง ๆ ของ LINE และ ช่องทาง LINE Shopping นี้ด้วย
แล้วก็เป็นไปได้ว่า LINE อาจจะกลายเป็น Marketplace ที่ขึ้นมาเทียบกับเจ้าตลาดเลยก็ได้ ซึ่งดูจากจุดแข็งที่ LINE มี โดยเฉพาะจำนวนผู้ใช้งานที่มากกว่าคู่แข็งทั้งหมด (90 กว่าเปอร์เซ็นต์ของคนไทยใช้ LINE) คงไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะเกิดสิ่งนั้นขึ้นมา
3. สิ่งที่ LINE MyShop มี และ Shopee หรือ Lazada ไม่มี
สิ่งที่ LINE ทำได้เหนือกว่าคือความเป็น Personalize หรือความเป็นเฉพาะบุคคล การสนทนาบน LINEนั้นจะทำให้เราสามารถคาดเดา หรือ ดูพฤติกรรมของลูกค้าได้ชัดเจนกว่า อีกทั้งถ้าผสมเข้ากับเรื่อง Broadcast แบบเฉพาะเจาะจงบุคคลของ LINE Official Account ได้แล้ว จะทำให้เราสามารถ Broadcast เฉพาะกลุ่มเป้าหมายของเราจริง ๆ ที่มีโอกาสซื้อสูงได้อีกด้วย
ความเป็น Chat Platform ของไลน์ที่เป็นโปรแกรมแชทที่มีคนใช้มากที่สุดในประเทศไทยที่มีจำนวนมากถึง 44 ล้านคน ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลูกค้าจะชอบคุยใน Platform ไหนมากกว่ากันระหว่าง Lazada หรือ Shopee กับ LINE อีกทั้ง LINE ยังมีโอกาสที่เราจะ Up-Sell ได้มากกว่า Lazada หรือ Shopee เพราะการพูดคุยนั้นจะทำได้สมูธกว่าการใช้ Lazada หรือ Shopee คุยนั่นเอง
สรุปแล้ว Lazada หรือ Shopee นั้นมีข้อดีเมื่อสินค้าของคุณเป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับท้องตลาด และสามารถต่อสู้กันในเรื่องของราคาได้ เพราะ Lazada หรือ Shopee จะได้เปรียบกว่า LINE MyShop ตรงที่ว่าสามารถที่จะจัดแคมเปญต่าง ๆ และสามารถเข้าถึงผู้คนได้จำนวนมากกว่า LINE MyShop
แต่ LINE MyShop จะได้เปรียบ Lazada กับ Shopee มหาศาลเมื่อคุณสามารถดึงให้ลูกค้าของคุณมาแอด LINE Official Account ของคุณได้ เพราะคุณสามารถที่จะส่งโปรโมชัน และ ข้อเสนอต่าง ๆ ได้โดยตรงที่ตัวลูกค้าของคุณโดยที่ไม่ต้องไปแข่งกับร้านอื่น ดังนั้นแล้วถ้าหากคุณวาง Funnel ได้ดี และสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงแล้ว เมื่อรวมกับ LINE MyShop ก็เปรียบกับเครื่องผลิตเงินดี ๆ นี่เอง !
ทั้งนี้ก็ไม่อยากจะให้ทิ้ง Platform ไหนสักอันหนึ่งเลย เพราะยิ่งเรากระจายไปเปิดร้านในหลาย ๆ Platform นั้น ก็จะยิ่งทำให้คนเห็นเรามากขึ้น ถ้าเปรียบกับ Offline ก็เหมือนเราเปิดหน้าร้านหลายสาขานั่นเอง แต่ที่สำคัญคือการเลือกทำเลว่าแต่ละที่นั้นเหมาะกับการใช้งานแบบไหนนั่นเอง