หลายคนในช่วงนี้ อาจจะต้องหยุดงาน หรือต้อง Work From Home เนื่องจากผลกระทบของไวรัส Covid-19 ในวิกฤติครั้งนี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมาย และผลที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคไปตลอดกาล และในวันที่เขียนบทความนี้อยู่ เรากำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่เราต้องปรับตัวกันอย่างรุนแรง หลายธุรกิจที่ปรับตัวไม่ทันต้องปิดตัวลง ต้องลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปให้ได้
แต่ทว่าหลังจากนี้จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป..
.
นินจา การตลาด จึงได้จัดทำบทความซีรี่ย์นี้ขึ้นมา จะเป็นบทความที่มีความยาวพอสมควร และเมื่อคุณอ่านครบทุกตอน มันจะเหมือนคุณได้อ่านหนังสือการตลาดเล่มโตดี ๆ นี่เอง เพื่อที่จะเป็นอีกหนึ่งแรงที่จะช่วยให้ธุรกิจไทย สามารถไปต่อได้ในโลกหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ นั่นคือ “ชุดความรู้ที่ถูกต้องด้านการตลาดออนไลน์” โดยคุณสามารถไล่อ่านได้จากคอนเทนต์นี้เป็นต้นไป เราจะอธิบายทั้งหมดของการตลาดออนไลน์และ Case Study ต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่การยิงแอดอย่างเดียวที่ทุกคนเข้าใจ เพราะการทำการตลาดออนไลน์ ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เครื่องมืออย่างเดียว
แล้วเราต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้างล่ะ ?
เราจะมาบอกถึงภาพรวมของการตลาดออนไลน์ว่าเราต้องรู้อะไรบ้างภายในบทความแรกนี้ และเรามีกลุ่มสำหรับปรึกษาปัญหาของการตลาดออนไลน์ และอาจจะมี Exclusive LIVE ภายในนั้น โดยเราจะทิ้งทางเข้ากลุ่มไว้ที่ท้ายบทความนี้ แต่อยากให้ทุกคนอ่านกันให้จบก่อนนะครับ ถ้าพร้อมแล้วเราก็ไปเริ่มกันเลย !
Core Of Online Marketing – SCMD Model
1. Strategy – กลยุทธ์
สิ่งที่หลายคนขาดไป และลืมนึกถึงทั้งที่มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำการตลาดออนไลน์ เรียกได้ว่าเป็นแก่นในสุดที่จะกำหนดทิศทางในการทำการตลาดออนไลน์เลยนั่นก็คือ “กลยุทธ์” หรือ Marketing Strategy ซึ่งแท้จริงแล้วกลยุทธ์การตลาดเปรียบเสมือนหางเสือของเรือที่จะกำหนดว่าเราจะไปในทิศทางไหน กำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการ กำหนดวิธีการนำเสนอ รูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์ กำหนดระยะเวลา หลายคนที่เริ่มต้นจากการไปยิงแอดเลย ทำคอนเทนต์เลย ไม่ได้วางกลุ่มเป้าหมายเพื่อทดสอบ มีบางคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่ยิง นั่นก็ถือว่าโชคดีของคุณ แต่มีไม่น้อยเหมือนกันที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ และละลายเงินไปกับโฆษณาจนเลิกทำออนไลน์มาร์เก็ตติ้งไปเลยก็มี ดังนั้นแล้วในคอนเทนต์ต่อไป เราจะมาคุยเรื่อง Marketing Strategy เป็นอันดับแรก เพื่อให้ได้เข้าใจภาพรวมทั้งหมดของสิ่งที่เราจะทำกัน !
.
แต่เชื่อไหมว่าเกือบร้อยทั้งร้อยของธุรกิจที่จะก้าวเข้าสู่ออนไลน์ มองข้ามเรื่องการวางแผนกลยุทธ์ แต่กระโดดไปเริ่มลงมือปฏิบัติในเชิงของการสื่อสารทันทีโดยที่ไม่มีการวางแผนศึกษาหาความต้องการกลุ่มเป้าหมาย หาความแตกต่างที่เหนือกว่าของแบรนด์เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด และวิเคราห์หากลยุทธ์เพื่อบุกตลาด ทำให้การสื่อสารที่ปล่อยออกไปจากแบรนด์ธุรกิจ มันไม่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย จึงทำให้ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในโลกออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน
.
ยกตัวอย่างนะครับ หากต้องการเริ่มต้นวางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล เราควรใช้เครื่องมือทางการวิเคราะห์กันหลายตัว เช่น SWOT, Customer Journey, STP (Segment/ Target/ Positioning), Five Force Model, 4P ฯลฯ โดยเครื่องมือทั้งหลายนี้จะใช้เพื่อนำมาวิเคราะห์ตลาด คู่แข่ง กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงจุดเด่นของแบรนด์สินค้า เพื่อให้ได้มาซึ่งกลยุทธ์ทางเลือกที่แบรนด์สินค้าควรใช้ เช่น Key Message หรือ Big Idia หลักสำหรับใช้วางแผนการสื่อสารการตลาดในระดับเนื้อหาข้อมูล (Content) และการเลือกใช้สื่อ (Media) ต่อไป
2. Content – คอนเทนต์
Content is King เป็นคำที่เราได้ยินกันหนาหู ซึ่งใช่ครับ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ บางคนโปรดักชั่นสวยงามมาก แต่เนื้อหาไม่ได้น่าดึงดูดใจ ผิดกับบางคนที่ทำคอนเทนต์บ้าน ๆ ถ่ายด้วยกล้องมือถือไม่ได้ใส่กราฟฟิกอะไรเลย แต่ทำไมเขากลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นั่นก็เป็นเพราะว่า “Content ของเราไม่ได้เหมาะกับทุกคน” การทำคอนเทนต์เป็นศาสตร์ที่ค่อนข้างต้องทำความเข้าใจในระดับหนึ่งเลย เพราะคอนเทนต์ในแต่ละ Platform ก็ไม่เหมือนกัน การทำ Viral Content ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกประเภทธุรกิจ Part ของ Content น่าจะเป็นส่วนที่ยาวที่สุด เพราะเราอยากให้คุณเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยถ้าหากเราทำคอนเทนต์ได้ดี เราก็มีโอกาสที่จะลดการใช้งบโฆษณา และมีโอกาสที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบ Organic Reach (แบบไม่เสียเงินโฆษณา) ได้สูง
.
แต่ละธุรกิจจะมีแนวทางการใช้รูปแบบคอนเทนต์ที่แตกต่างกันไป บางครั้งแม้แต่ธุรกิจเดียวกัน สินค้าแบบเดียวกัน หรือประเภทเดียวกัน หรือบางที แม้แต่สินค้าตัวเดียวกันเลย ก็อาจใช้วิธีการนำเสนอคอนเทนต์ที่แตกต่างกันคนละเรื่องเลยก็เป็นได้ครับ เพราะปัจจัยในการเลือกรูปแบบเนื้อหาในการสื่อสารการตลาดนั้น มีกลุ่มปัจจัยอื่นอีกหลายอย่างที่ต้องนำมาประเมิณร่วมด้วย เช่น กลุ่มเป้าหมาย, คู่แข่งที่จะไปเปรียบมวยด้วย, ช่วงระยะเวลาการสื่อสาร, ฯลฯ เหล่านี้มีผลต่อการเลือกวิธีการสื่อสารคอนเทนต์ทั้งสิ้น ซึ่งถ้าสังเกตุดี ๆ จะเห็นว่าปัจจัยทั้งหลายเหล่านั้นถูกวิเคราะห์มาแล้วตั้งแต่ระดับกลยุทธ์นั่นเองครับ ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าคุณเป็นหนึ่งในธุรกิจที่กำลังจะก้าวเข้าสูโลกออนไลน์ แล้วคุณก็รู้ดีและเข้าใจดีว่าการสร้างคอนเทนต์คุณภาพที่เหมาะสมนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ของธุรกิจออนไลน์ ดังนั้นคุณก็ต้องให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ในระดับก่อนหน้านี้ นั่นก็คือระดับ “กลยุทธ์” นั่นเองครับ
สรุปแล้วก็คือ หากต้องการได้คอนเทนต์ที่ดี ก็ต้องวิเคราะห์และวางกลยุทธ์ให้ดีด้วย
.
เห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่ามันเชื่อมโยงต่อกันเลยตั้งแต่ “กลยุทธ์” จนมาถึง “คอนเทนต์”
.
เชื่อว่าใครอ่านมาถึงจุดนี้ จะเริ่มถามในใจบ้างแล้วว่า
แล้วเราจะเลือกรูปแบบคอนเทนต์อย่างไรดี? มีแนวทางไหม? หรือบางคนอาจคิดย้อนกลับไปถึงว่า การกำหนดกลยุทธ์ จะต้องทำอย่างไรบ้าง? เริ่มต้นยังไงดี?
.
เก็บคำถามเหล่านั้นไว้ก่อนครับ เรามาดูกันในขั้นถัดไปก่อนดีกว่า
3. Media – ช่องทางสื่อที่ทำการตลาด
Media ในการทำการตลาดออนไลน์บนโลกนี้ไม่ได้มีแค่ Facebook, IG หรือ LINE เพียงเท่านั้น ยังมี Platform ทางการตลาดอีกเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็น Twitter, Tiktok, Youtube, Website, Native Ads, Lazada, Shopee และอื่น ๆ ที่จะสามารถไปโดนจุด Touch Point ของกลุ่มเป้าหมายได้ เพราะคุณอย่าลืมว่ามนุษย์แต่ละคนไม่ได้เล่นแค่ Facebook อย่างเดียวทั้งวัน ดังนั้นการเปลี่ยนรูปแบบโฆษณาของเราให้ตรงตาม Media และ Touch Point ต่าง ๆ ของกลุ่มเป้าหมายเรา จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้สูงขึ้นมากเท่านั้น
ทำไมเวลาเราลงโฆษณา หรือ ทำคอนเทนต์ที่คิดว่าจะปังแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราตั้งใจไว้ ? ทำไมที่เราคิดว่าน่าจะดีแต่กลับไม่ค่อยมีคนชอบ ?
Case Study ที่พิสูจน์เรื่องนี้ให้เห็นภาพได้ดีที่สุดนั่นก็คือ Tiktok
คุณเคยสงสัยไหม ว่าทำไมบางวีดีโอใน Tiktok ถึงได้มีคนดูชอบเป็นพิเศษ แต่ทำไมพอเอามาลง Facebook หรือ Twitter แล้วมันไม่เวิร์กอย่างที่คิด นั่นเป็นเพราะแต่ละ Platform นั้นมีเอกลักษณ์และกลุ่มคนที่ไม่เหมือนกัน พฤติกรรมการเล่นโซเชียล แพลตฟอร์มเหล่านี้จะแตกต่างกันออกไป นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องเรียนรู้เรื่อง Media ให้เข้าใจแบบถ่องแท้ และสิ่งเหล่านี้ชี้ได้ด้วยสถิติที่ชัดเจน ในบทความถัด ๆ ไปเราจะมาเจาะลึกเรื่องนี้กัน ว่าคอนเทนต์แบบไหน หรือโฆษณาแบบไหน ควรจะวางไว้ที่ Platform ไหน และควรวางไว้ในโอกาสไหน
การตลาดออนไลน์ในยุคใหม่ ที่พฤติกรรมของคนเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีตัวเลือกให้พวกเขาได้เลือกมากยิ่งขึ้น New Normal (ความปกติในรูปแบบใหม่ หมายถึงพฤติกรรมของคนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ในเหตุการณ์นี้คือหลังจากหมดวิกฤติไวรัส) หลังจากนี้เขาจะปรับเข้าสู่โลกของออนไลน์
ณ วันที่เขียนบทความนี้ขึ้นมา เราต้องอยู่กับไวรัสร้ายตัวนี้ไปอีก 18 เดือน (หรือมากกว่านั้น) ทำให้หลังจากนี้ทุกคนจะเริ่มปรับตัวในการใช้บริการ หรือ หาความบันเทิงจากโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น เราจะเห็นได้ว่าธุรกิจที่ยังอยู่รอดในปัจจุบันนี้เกือบทั้งหมด เป็นบริษัทที่ให้บริการที่อยู่บน Cloud ไม่ว่าจะเป็นบริษัทซอฟท์แวร์ต่าง ๆ หรือ บริษัท Delivery ที่สามารถส่งของให้ลูกค้าได้ แม้ลูกค้าไม่ต้องก้าวเท้าออกจากบ้าน
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าในช่วงวิกฤติไวรัสที่ทุกคนต้องกักตัวอยู่ที่บ้านแบบนี้ ธุรกิจ Grab ที่เป็นธุรกิจคอยรับส่งอาหารให้กับลูกค้าจะมีกำไรมหาศาลขนาดไหน ? คำตอบคือไม่มีกำไรเลยแม้แต่นิดเดียว !
Grab ขาดทุนมาตลอด 3 ปีหลังนี้ แม้จะมีผู้มาใช้บริการมากมายขนาดไหน ทุกออร์เดอร์ที่สั่ง Grab จะมีต้นทุนแฝงหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าพาร์ทเนอร์ ค่าส่วนลดของลูกค้า ค่าการตลาด ค่าจัดการซอฟท์แวร์ ค่าประกันของพาร์ทเนอร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สิ่งที่ Grab ทำไม่ใช่การเผาเงินเล่นแต่อย่างใด พวกเขากำลังจะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค กำลังเข้ามา Disruption ครั้งใหญ่ที่จะทำให้ชีวิตหลังจากนี้ของกลุ่มลูกค้าของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และสิ่งที่ Grab จะได้กลับมาจากครั้งนี้
คือ “Data”
4. Data – ข้อมูล
เราเคยอาจจะเคยได้ยินกันมาหนาหูในช่วงที่ผ่านมา ว่า Data นั้นสำคัญมาก ๆ แต่หลายคนก็ยังคิดว่าเราเป็นแค่บริษัทเล็ก ๆ เป็นร้านค้าเล็ก ๆ ทำไมเราต้องสนใจด้วย ซึ่ง Data ในที่นี้เราอาจจะไม่จำเป็นที่ต้องทำ Big Data แต่เราแค่ต้องรู้ว่าเราสามารถที่จะเอาข้อมูลที่เราเก็บนั้นไปทำอะไรต่อ แม้กระทั่งใน Facebook เองจะมีการยิงโฆษณาตัวหนึ่งที่เรียกว่า Conversion อันนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการดูว่าคนทำอะไรและไม่ทำอะไร ทำให้เราใช้ประโยชน์จากการเก็บข้อมูลมาเพื่อวิเคราะห์โฆษณาได้อย่างดี
แต่ถ้าหากยังยากไป เราจะขอยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็แล้วกัน
เช่น ถ้าหากคุณเป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง และมีลูกค้าเข้ามาทุกวัน แต่คุณไม่ได้มีการจัดระเบียบข้อมูล คุณจะรู้หรือไม่ว่าลูกค้าชอบทานอะไร ไม่ทานอะไร ? ชอบทานอาหารไหน คู่กับอาหารไหน ? แต่เมื่อถ้าคุณมีข้อมูลตรงนี้เมื่อไหร่ คุณจะสามารถเอา Data ตรงนี้มาเพื่อที่จะอุดรอยรั่วของสินค้าและบริการของคุณ สามารถเอามาวิเคราะห์ต่อว่าจะต้องจัดโปรโมชั่น หรือ จะกระตุ้นยอดขายอย่างไร พฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นอย่างไร ชอบสั่งอาหารอะไรกลับบ้าน ในเวลาไหน เช้า กลางวัน หรืออาหารเย็น ลูกค้าคนนี้กลับมาซื้อซ้ำในช่วงเวลาไหน ซื้อไปครั้งละเยอะหรือน้อย ทำให้สามารถรู้ได้ว่าคนนี้มีครอบครัว หรือ อยู่ตัวคนเดียว ซึ่งข้อมูล หรือ Data ตรงนี้นอกจากจะทำให้เราเห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ทำให้เราสามารถปรับปรุงสินค้าและบริการของเราแล้ว ยังสามารถนำข้อมูลตรงนี้ไปพัฒนาสินค้า หรือ ธุรกิจอื่นได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้านี้ที่เรามีข้อมูลของเขาอยู่ในมือ
สรุปแล้ว
SCMD Model คือ Strategy Content Media Data ซึ่ง 4 องค์ประกอบหลักนี้เป็นหัวใจสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ในอนาคต
และถ้าเราเรียนรู้ 4 แก่นนี้อย่างถ่องแท้ ก็จะทำให้เรามีโอกาสในการประสบความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์มากยิ่งขึ้น โดยในบทความต่อไปของซีรี่ย์นี้ เราจะมาเจาะละเอียดกันในแต่ละแก่น ว่ามีสิ่งใดบ้างที่เราต้องเรียนรู้ และถ้าหากคุณมีคำถาม หรือมีปัญหาอะไรที่อยากจะแก้ ก็สามาถเข้ามาพูดคุยกันที่กลุ่ม กดปุ่มด้านล่างได้เลยครับ