นอกจากความกังวลเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องระวังตัวไม่ให้ติดไวรัสแล้ว สิ่งที่เราต้องกังวลอีกเรื่องก็คงไม่พ้นเรื่องของเศรษฐกิจครับ เพราะเราไม่รู้เลยว่าโควิด-19 ที่ระบาดใหม่ในรอบนี้จะรุนแรง และอยู่กับเราไปอีกนานแค่ไหน
จากการสำรวจพบว่ามีผู้คนที่กังวลในเรื่องนี้เฉลี่ยแล้วเป็นเปอร์เซ็นสูงถึง 88% เลยทีเดียว และเพราะความกังวลนี้เองส่งผลทำให้คนไม่กล้าจ่ายเงินออก ไม่เกิดการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งไอ้ประเด็นนี้แหละที่เป็นประเด็นส่งผลต่อเนื่องจนกลายเป็นความกังวลของธุรกิจต่างๆ ที่ต้องปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่คิดเยอะขึ้นในการใช้จ่าย ถึงแม้จะมีมาตรการของรัฐฯ ที่เข้ามาช่วยให้เม็ดเงินไหลลงมาสู่ระบบอยู่บ้าง เช่น โครงการคนละครึ่ง แต่ผู้บริโภคเองก็ยังไม่กล้าใช้จ่ายกันอย่างเต็มที่
แล้วเราจะทำให้คนกล้าใช้จ่ายได้อย่างไร นั่นคือเรื่องที่เราจะมาหาทางแก้ด้วยกันครับ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เรื่องสุขภาพกลับเป็นเรื่องที่คนกังวลน้อยกว่าเรื่องเศรษฐกิจ เพราะจากตัวเลขการสำรวจ มีผู้คนที่มีความกังวลเรื่องนี้อยู่ที่ 82% เป็นรองเรื่องเศรษฐกิจซะงั้น แต่ก็ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของสุขอนามัย แอลกอฮอล์ หรือหน้ากากอนามัยบูมมาก ใครที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพก็ได้รับผลบวกตาม ๆ กันไป แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่ในกลุ่มธุรกิจด้านนี้ละ ต้องทำอย่างไรดี?
แน่นอนครับว่าตั้งแต่มีโควิดเข้ามา ไลฟ์สไตล์ การทำงาน การดำเนินชีวิตต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนไป ทำให้พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยเปลี่ยนตาม เกิดกระแสการซื้อใหม่ ๆ ทั้งรูปแบบการซื้อ และประเภทของสินค้าที่ซื้อ ว่าแต่เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างไร
ผมจะแบ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบย่อย ๆ เป็นข้อ ๆ เพื่อให้ทุกท่านเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นนะครับ
‘ช้อปออนไลน์สุดปัง ช้อปแหลกแหวกไวรัส ช้อปไม่ติดขัด จนไวรัสยังงง’
อย่างแรกเลยคนคุ้นเคยกับการซื้อของออนไลน์มากขึ้น สินค้าทั่วไปยอดหดตัวลง 16.2% แต่ในทางกลับกันออนไลน์โตขึ้นถึง 8.6% และพบว่ามียอดคนซื้อของออนไลน์มากขึ้นถึง 40% ซึ่งเป็นผู้ซื้อใหม่ทั้งหมด
ยอดพวกนี้พอจะทำให้คุณสนใจที่จะเพิ่มช่องทางธุรกิจของคุณไปทางออนไลน์บ้างไหมครับ ?
คุณลูกค้าขา คุณลูกค้าขา ‘ไลฟ์สดขายของสุดครีเอท’
อีกหนึ่งอย่างที่บูมมาก ๆ เลยคือการขายของผ่านไลฟ์ นาทีนี้ต้นแบบก็คงหนีไม่พ้นคุณ “พิมรี่พาย” แม่ค้าคนดังสุดร้อนแรง ที่ขายทุกอย่างครอบอาณาจักร แถมยังครองแฮชแท็กอันดับ 1 ของทวิตเตอร์บ่อย ๆในช่วงนี้ ว่าแต่ก่อนที่พิมรี่พายจะมาเป็นแม่ค้าสุดแซ่บอย่างทุกวันนี้ เธอผ่านอะไรมาบ้างนะ ชีวิตเธอผลิกผัน จากแม่ค้าตลาดธรรมดามาเป็นแม้ค้าอินฟลูเอนเซอร์สุดโด่งดัง เพียงเพราะเธอเปิดเพจ ‘พิมรี่พายขายทุกอย่าง’ แล้วเริ่มไลฟ์สดขายของด้วยสไตล์ที่เธอมี โดยใช้ฝีปากสุดแซ่บขายไปด่าไป จนลูกค้าถูกอกถูกใจยอดขายถล่มทลาย เปิดไลฟ์ทีไร ไม่เคยมีคนดูต่ำกว่า 10,000 คน จนกลายเป็นอาณาจักรพิมรี่พายที่ขายทุกอย่างครอบจักรวาลอย่างทุกวันนี้ และในปีนี้เทรนทำวิดีโอมาแรงมาก สำหรับใครที่อยากรู้เรื่องการทำวิดีโอแบบชัดๆ ผมเคยเขียนไว้แล้ว ตามอ่านได้ที่ blog นี้เลยครับ บอกเลยว่ารู้ไว้ไม่มีเอาท์แน่นอนครับ
กลุ่มลูกค้า (ขยายตัว) ขึ้น ให้รีบตัก
เจเนอเรชันในการซื้อของก็เปลี่ยนไปเหมือนกันครับ ช่วงโควิดที่ผ่านมานี้ คนรุ่นใหม่เป็นคนซื้อเครื่องครัวเข้าบ้านมากขึ้น ไม่ใช่แค่คนรุ่นพ่อแม่แล้ว เพราะฉะนั้นการทำการตลาดก็ต้องเปลี่ยนไปตามนิสัยของคนรุ่นนั้น ๆ ด้วยครับ การที่จะขายของให้ตรงใจลูกค้า สิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือการเก็บข้อมูล หลังจากนั้นค่อยทำอินไซต์ลูกค้า แล้วเอาข้อมูลพวกนั้นมาทำ Personalized Marketing ต่อไปครับ เรื่องพวกนี้ผมก็เคยพูดถึงแล้วเหมือนกัน เข้าไปดูวิดีโอได้ตามลิงค์นี้เลยครับ
‘เพิ่มความน่าสนใจให้สินค้าด้วยการ DIY’
ลูกค้าต้องการสินค้าที่เหมาะกับตัวเองจริง ๆ เลือกส่วนประกอบเองได้ ช่วงที่ผ่านมาคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่ลูกค้าสามารถจัดสเปคเองได้ ได้รับความนิยมมาก หรือแม้กระทั่งขนมเบื้อง DIY ที่แยกส่วนประกอบตัวแป้ง ครีม ไส้ ออกจากกันแล้วให้ลูกค้าใส่ส่วนผสมด้วยตนเองได้ ก็สร้างความสนุกให้กับลูกค้าได้อยู่พักใหญ่ ๆ เลยแหละครับ เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมมองว่า Data ก็มีบทบาทสำคัญอีกนั่นแหละครับ เพราะก่อนขายเราต้องรู้ก่อนว่าลูกค้าต้องการอะไร ถึงจะออกสินค้ามาขายได้ตรงใจลูกค้าใช่ไหมละครับ เราอาจจะถามความต้องการจากลูกค้าง่ายๆ ด้วยการทำ Quiz Content สำหรับใครที่อยากรู้ลึกเกี่ยวกับการทำ Quiz ให้ปัง ผมเคยเขียนไว้บ้างแล้ว ไปอ่านได้จาก blog นี้เลยครับ
7 ตัวอย่างการทำ Quiz Content ให้ได้ Customer Insight สุดเฉียบ
‘เรื่องบ้าน ๆ ก็สำคัญ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ใช้สอยจับจ่ายออนไลน์เข้าบ้าน’
เรื่องสุดท้ายผู้บริโภคลงทุนกับการอยู่บ้านมากขึ้น และยินดีจ่ายให้กับสินค้าคุณภาพดีแม้จะราคาสูง เช่น เครื่องนอน เครื่องออกกำลังกาย แม้กระทั่งเก้าอี้สำหรับทำงาน หรือ Home Entertainment ต่าง ๆ ผมมองว่าส่วนมากลูกค้าเจนเนอเรชันนี้ต้องการความรวดเร็ว แล้วเราต้องทำยังไงให้ตอบสนองความต้องการให้ลูกค้าได้อย่างทันท่วงที ผมแนะนำว่าให้ลองใช้เทคโนโลยี AI อย่าง Chatbot เข้ามาช่วย อาจจะตอบโจทก์ลูกค้าที่ต้องการได้คำตอบจากข้อสงสัยของตัวเองรวดเร็วได้ขึ้น หรือสิ่งง่ายๆที่คุณอาจมองข้ามอย่างบริการหลังการขาย ก็เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้ลูกค้าจนอาจจะทำให้พวกเขากลายมาเป็นลูกค้า Royalty ของเราเลยก็เป็นได้
โดยสรุปแล้วการทำการตลาดในช่วงนี้ สิ่งที่นักธุรกิจอย่างเราควรคำนึงถึงเป็นอย่างแรกเลยคือเรื่องของ Data แค่เรามีข้อมูลที่ดี เราก็เอาไปต่อยอดทำการตลาดในขั้นตอนต่อไปได้ไม่ยากแล้วครับ และที่สำคัญเลยคือการต้องปรับตัวตลอดเวลาอย่าหยุดนิ่ง และที่สำคัญนะครับ เราควรคิดอยู่เสมอว่าเราต้องก้าวนำความคิดของลูกค้าอยู่ 10 ก้าวเสมอ ธุรกิจเราถึงจะปังครับ
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีวิธีที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการทำการตลาดอีกหลากหลายวิธี ครั้งหน้านินจาจะมีแนวทางปรับแผนการทำการตลาดในช่วงโควิดอีกเพียบที่อยากบอกต่อทุกคน อย่าลืมติดตามกันนะจ๊ะ