Facebook ได้ทำการออกเครื่องมือทดสอบแบบใหม่อย่าง Organic Post Testing ที่จะเปิดให้ครีเอเตอร์ทดสอบประสิทธิภาพของโพสต์ที่แตกต่างกัน และแสดงต่อกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้นสผ่านเพียงอย่างเดียว
นักตลาด และธุรกิจต่าง ๆ คงมีความคุ้นเคยกับ A/B Testing หรือก็คือการทดสอบเปรียบเทียบระหว่างสองแบบไม่ว่าจะเป็นโพสต์หรือหน้าเว็บไซต์ เพื่อดูว่ารูปแบบไหนดีกว่ากัน ซึ่งเราสามารถทดสอบได้ด้วยตัวเอง และสามารถใช้เครื่องมือทดสอบที่มักมีให้ในการลงโฆษณาโซเชียลมีเดีย
ซึ่งการทำ A/B Testing จากที่เห็นจากรูปข้างต้น คุณคิดว่า Ad ตัวไหนนั้นดีกว่ากัน หรือเห็นความแตกต่างอะไรบ้าง ? ของสอง Ad นี้ เรื่องการทดสอบเปรียบเทียบแบบนี้ ปกติแบรนด์ และนักการตลาดนั้นทำเป็นประจำ เพราะสามารถวัดได้อย่างแม่นยำ เพียงแต่ต้องใช้การโฆษณาเท่านั้น ถึงจะเปรียบเทียบได้ แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ อาจจะไม่จำเป็นต้องทำอย่างงั้นแล้ว
เพราะ Facebook กำลังทดสอบฟีเจอร์ที่ครีเอเตอร์สามารถทำ Organic Post Testing โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ปัจจุบันสามารถทดลองใช้ได้แค่กับโพสต์ประเภทวิดีโอเท่านั้น ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวจะอยู่ใน Creator Studio จะแสดงตอน Create Post แล้วนั่นเอง
โดยหลักการทำงานของเครื่องมือนี้ ครีเอเตอร์จะต้องเลือกโพสต์ที่ความแตกต่างกัน เพื่อทำการทดสอบ พร้อมตั้งตัวชี้วัดความสำเร็จของโพสต์นั้น ๆ ไม่ว่าการรับชมวิดีโอ หรือยอดการเข้าถึงต่าง ๆ
ซึ่งการทดสอบจะจบลงก็ต่อเมื่อถึงช่วงเวลาสูงสุดของ Facebook ที่จะอนุญาตให้ทดสอบได้ หรือเมื่อประสิทธิภาพของโพสต์ที่ทำการทดสอบทั้งหมดรวมกันไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
เมื่อการทดสอบจบลง Facebook ก็จะทำการเลือกโพสต์ที่ชนะ หรือมีประสิทธิภาพสูงสุดมาแสดงผลให้คนทั่วไปได้เห็น เหมือนกับโพสต์อื่น ๆ
เรียกได้ว่าเป็นฟังก์ชัน A/B Testing แบบไม่จำเป็นต้องยิงโฆษณา ไม่ต้องไปถึง Facebook Business ที่เราคุ้ยเคยกัน แถมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายก็รู้ได้ว่าโพสต์ไหนสามารถทำประสิทธิภาพได้สูงสุด
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเรื่องสำหรับครีเอเตอร์หลาย ๆ คน แต่ในปัจุจบัน Facebook ยังปล่อยเครื่องมือนี้ออกมาแค่ทดลองให้ใช้งานสำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น และตัวชี้วัดความสำเร็จก็ยังไม่แม่นยำมากนัก เมื่อเทียบกับ A/B Testing
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อจำกัดแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับประโยชน์ที่ครีเอเตอร์จะได้รับ เพราะฉะนั้นหากใครมีเครื่องมือนี้อยู่ในมืออย่าลืมไปทดลองใช้ดูกัน
แต่หากใครไม่มีเจ้าเครื่องมือดังกล่าวก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจไป เพราะเชื่อว่าอีกไม่นาน Facebook คงมีข่าวดีมาแน่นอน