Ep.4 : ทีมงานจะคุยกับผู้บริหาร หรือผู้ประกอบการคุยกับเอเจนซี่ จะไปได้ดีต้องใช้ภาษาเดียวกัน.
ผ่านไปแล้ว 30 ศัพท์ จาก Ep.1, Ep.2 และ Ep.3 ที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้ว วันนี้มาเรียนรู้เพิ่มอีก 10 คำศัพท์นะครับ
.
อ่าน – “100 ศัพท์ต้องห้าม (พลาด) สำหรับนักการตลาดในยุคดิจิทัล Ep.1”
.
อ่าน – “100 ศัพท์ต้องห้าม (พลาด) สำหรับนักการตลาดในยุคดิจิทัล Ep.2”
.
อ่าน – “100 ศัพท์ต้องห้าม (พลาด) สำหรับนักการตลาดในยุคดิจิทัล Ep.3”
.
“คุยอะไรกัน ภาษาต่างดาวเหรอเนี่ย”
ถ้าคุณเคยต้องดิวงานด้านการตลาดอยู่ แล้วมีอาการแบบนี้เกิดขึ้นกับคุณ ต้องรีบอ่านเนื้อหาที่นินได้นำมาให้ในวันนี้ทันทีเลยนะครับ
หลายครั้งที่การทำงานด้านการสื่อกสารการตลาดดิจิทัล หรือพูดง่ายๆ ว่าการทำตลาดออนไลน์ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่คาดหวัง มีผลมาจากการทำงานที่ไม่เข้าใจกัน ทั้งลูกน้องกับหัวหน้าเอง หรือแม้แต่ตัวเจ้าของกิจการกับเอเจนซี่
.
คนนึงพูดด้วยภาษาการตลาดดิจิทัล อีกคนไม่เข้าใจนัยยะของมัน ซึ่งหลายๆ คำ ไม่สามารถอธิบายได้ในประโยคเดียว บางคำถึงขั้นต้องมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนเลยทีเดียว ถึงจะเข้าใจ
.
วันนี้นินจาการตลาดเลยขอรวบรวมคำศัพท์การตลาดยุคใหม่ (ดิจิทัล) ที่สำคัญๆ มาเล่าให้พวกเราเข้าใจกัน เพื่อการพัฒนาของกิจการและการทำงานที่ยังยืนด้านการสื่อสารดิจิทัล
นินขอเริ่มจากคำแรกเลยนะครับ
Disruption.
คำนี้เป็นคำที่พูดกันมาสักระยะแล้วนะครับ น่าจะพอคุ้นเคยกันบ้าง ส่วนคนที่ไม่คุ้นเคยเลยก็ต้องขอบอกว่า เราใช้คำนี้กับมุมของด้านการตลาดคือ เป็นคำที่ใช้บอกถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบธุรกิจที่มีผลกระทบมาจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้มีผลต่อธุรกิจบางประเภท โดยเฉพาะธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
.
สินค้าที่ถูกการ Disruption นี้มีอยู่หลายสาขาหลายกลุ่มนะครับ ที่เห็นๆ กันเลยก็เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร คนเริ่มอ่านน้อยลง เพราะคนเริ่มอ่านผ่านมือถือตัวเองมากขึ้น ใช้คำว่ามากขึ้นอย่างรุนแรงได้เลยครับ ดังนั้นธุรกิจสิ่งพิมพ์ที่ปรับตัวได้เร็ว ก็จะทำให้อยู่รอดได้ในรูปแบบการปรับ Model ธุรกิจใหม่ เช่น หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีหนังสือพิมพ์ให้ได้อ่านอยู่นะ แต่ก็เริ่มใช้สื่อสังคมออนไลน์มาใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับค่อนข้างดีเลยทีเดียว
.
CD, MP3 แทบไม่ค่อยมีคนฟังแล้ว เพราะมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า Steaming อย่าง JOOK หรือ Spotify เข้ามาเป็นตัวเลือกให้คนฟังสะดวกมากขึ้นแล้ว
.
คู่แข่ง Nike ไม่ใช่แค่ Adidas หรือ Puma อีกต่อไปแล้ว Nike บอกว่า Steaming TV อย่าง Netflix ก็เป็นคู่แข่งของ Nike ด้วย เพราะอะไร ก็เพราะคนเลือกที่จะอยู่กับบ้านดู TV ไม่ออกจากบ้านไปออกกำลังกาย ดังนั้นสินค้าของ Nike ก็มีผลกระทบแน่นอน
.
ธุรกิจโรงแรมก็ถูก Disrupt โดย OTA อย่าง Agoda หรือ Airbnb ก็เข้ามาแย่ง Commission จากโรงแรมที่ต้องยอมแบ่งเงินรายได้ที่โรงแรมเคยได้ตรงๆ จากลูกค้าที่เข้าพัก แต่ต้องมาจ่ายส่วนแบ่งของธุรกิจให้กับ OTA ทั้งๆ ที่ OTA เหล่านั้นไม่ได้มี Asset เป็นของตัวเองเลย
.
SME อย่างเราๆ เอง ตอนนี้เรากำลังถูก Disrupt อยู่จากใครบางคนโดยที่ไม่รู้ตัวอยู่หรือเปล่า ลองสำรวจดูตัวเองด้วยนะครับ
อัพเดตความรู้ด้านการสื่อสารการตลาดยุคใหม่ได้ที่ LINE@ นินจาการตลาด
Customer Insight.
Insight เขียนแบบนี้นะครับ ไม่ใช่ inside แบบ Intel Inside นะครับ
.
พอพูดถึง Intel Inside ก็เล่าเสริมแล้วกันว่า คนในยุค 90 จะคุ้นเคยกับคำพูด หรือ Message ที่เป็น Core หลัก ที่ทำให้ผู้คนสนใจและจดจำซิพประมวลผลตัวเล็กๆในเครื่องคอมพิวเตอร์ เผลอๆ สนใจมันมากกว่าแค่คอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำไป ด้วยการสื่อสารโฆษณาอ้อมมาหา End User ด้วยคำว่า Intel Inside ทั้งๆ ที่ลูกค้าที่จ่ายเงินให้กับ Intel จริงๆ แล้วคือ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ แต่ Intel เลือกการสื่อสารที่กระตุ้นทางอ้อมไปยัง End User นั่นเอง
.
Customer Insight คือ ความเป็นจริง ความรู้สึกนึกคิด หรือความเป็นตัวตนของลูกค้าที่เค้าเป็นจริงๆ รู้สึกจริงๆ
.
ถ้ายังจำภาพนี้ได้ ภาพที่แสดงให้เห็นว่าลูกค้าต้องการอยากฟังอะไร และแบรนด์อยากบอกอะไร ซึ่งโดยส่วนใหญ่มันมักอยู่คนละด้าน ดังนั้นการพูดแต่มุมของแบรนด์อย่างเดียว ก็จะไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกอย่างฟังอะไร เพราะไม่ใช่เรื่องของตน
.
แต่ถ้าพูดในมุมของลูกค้าก่อนแล้วย้อนกลับมาพูดถึงแบรนด์แบบที่ลูกค้าตั้งใจรับฟังจากการดึงดูดใจลูกค้าด้วยการพูดในสิ่งที่เค้าอยากฟังก่อน ก็จะทำให้แบรนด์ถูกจดจำได้
.
ตัวอย่างที่ผมชอบยกเสมอๆ อันนึงก็คือ เมื่อเราต้องการจะชวนเพื่อนไปกินข้าว มีสองวิธีการให้เลือกด้วยกันดังนี้ คุณจะเลือกแบบไหน
.
1. นึกขึ้นได้ก็โทรเลย บอกเพื่อนว่า “เฮ้ยๆ แก ไปกินข้าวกัน”
.
กับอีกแบบคือ
.
2. ใช้เวลาขบคิดสักหน่อย ก่อนจะยกหูโทรศัพท์แล้วพูดว่า “เฮ้ยๆ แก ฉันเห็นพี่คนนี้เดินห้างนี้บ่อยว่ะ ไปกินข้าวกัน เผื่อเจอ”
.
อ่านแล้วคุณคิดว่าแบบไหน มีโอกาสที่เพื่อนจะไปกินข้าวกับเรามากกว่ากันครับ
.
แน่นอนครับ แบบที่สอง มีโอกาสสูงกว่าแบบแรก
.
ในตัวอย่างเรื่องนี้
– เพื่อน ก็เปรียบเสมือนลูกค้า
– โทรศัทพ์ก็เปรียบเสมือน Media
– ส่วนการพูดชวนด้วยวิธีการทั้งสองนั้นก็คือ Content นั่นเอง
.
แต่ความแตกต่างของทั้งสองวิธีการนี้คือ วิธีการแรก ใช้ Content ขายของโต้งๆ แบบไม่มีกลยุทธ์ ส่วนวิธีการที่สองคือ ใช้ Content พูดในมุมของลูกค้าก่อน ซึ่งนั่นก็คือ Customer Insight นั่นเอง เพื่อดึงให้ลูกค้าสนใจและมีใจไปกับสิ่งที่เราอยากจะบอกต่อจากนั้น แล้วตามด้วยการปิดการขายด้วยการชวนไปกินข้าว
.
แบบนี้แหล่ะที่เรียกว่าการขายของแบบรู้ Customer Insight
.
ลูกค้ามีหลายกลุ่มหลายแบบ เพื่อนของเราก็เช่นกัน มีหลายกลุ่มหลายแบบแตกต่างกันไป เพื่อนบางกลุ่มใช้เรื่องผู้ชายมาชักนำได้ แต่เพื่อนบางกลุ่มอาจต้องใช้เรื่องอื่นนะครับ
.
อันนี้เป็นหน้าที่ของนักการตลาดอย่างเราๆ นี่แหล่ะ ที่ต้องหา Customer Insight ให้เจอ
.
วิธีการหา Customer Insight ศึกษาได้ต่อจากที่นี่นะครับ
.
Analytics.
คำนี้มาจากคำว่าหมายถึงเครื่องมือการวิเคราะห์ครับ
.
ซึ่งถ้าอยู่ใน Platform ของเครื่องมือการตลาดอย่าง Facebook หรือ Google จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้เรารู้ได้ว่าลูกค้าที่เข้ามาใน Platform ของเรา เราจะรู้ได้เลยว่าลูกค้านั้นๆ มีพฤติกรรมอย่างไร เข้ามาเมื่อไหร่ ออกเมื่อไร่ เข้ามานานแค่ไหน มีส่วนร่วมอย่างไร เช่น Google Analytics หรือ Facebook Analytics
.
หลายคนไม่เคยรู้ว่าก่อนว่า Facebook มี Analytics ด้วยนะครับ
.
แนะนำนะครับว่าใครที่ยังไม่เคยเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้เลย อยากให้เริ่มทำไว้นะครับมันจะช่วยทำให้เราประเมิณได้ดีกว่าการไม่รู้เลยว่าลูกค้าของเราเป็นยังไง เราจะเห็นล่วงหน้าได้ว่าเราควรเอา Content แบบไหนมาเสริฟลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
.
ถ้าทำออนไลน์ยุคนี้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องวิเคราะห์ข้อมูลด้วยนำครับ
Carousel.
คำนี้จริงๆ แปลว่า ม้าหมุน
.
แล้วมันเกี่ยวกับออนไลน์ยังไง อยากให้ลองนึกภาพตามผมนะครับ สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จัก มันเป็นการโฟสต์แบบหลายๆ ภาพเรียงต่อกันเป็นแนวนอน แล้วผู้ใช้สามารถเลื่อนไล่ดูภาพแต่ละภาพได้ตามจำนวนภาพที่เราโพสต์
ข้อมูลจาก facebook.com
เหมาะมากกับเนื้อหาที่ต้องการให้ลูกค้าได้เห็นหลายๆ ตัว เช่น ภาพสินค้า Catalog ซึ่งสามารถทำลิงค์ให้ภาพแต่ละภาพได้เลย รวมถึงโพสต์ที่ต้องการเล่าเรื่องราวเป็นขั้นตอนก็เหมาะเช่นกัน
.
สินค้าที่เป็น E-commerce มักจะนิยมทำแบบนี้บ่อยครับ เพราะมันแสดงสินค้าได้หลายตัวในการโพสต์ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ก็อยู่ที่ว่ารูปภาพจูงใจให้ลูกค้าอยากเลื่อนไปดูและกดเข้าไปตามลิงค์ของภาพนั้นๆ หรือไม่
.
อ้อ ลืมบอกไปว่า ภาพแต่ละภาพนั้นจะมีลิงค์ฝังอยู่ครรับ ซึ่งถ้ากดเข้าไปที่ภาพไหน ระบบก็จะนำภาผู้ใช้ไปยังลิงค์นั้นๆ โดยที่แต่ละภาพสามารถกำหนดให้มีลิงค์แตกต่างกันได้ด้วย
Canvas.
พูดถึง Canvas นึกถึงอะไร ผ้าสำหรับการวาดรูปศิลปะหรือเปล่า..?
.
Canvas เป็นการโพสแบบหนึ่งบน Facebook ครับ ที่เหมาะสำหรับการเล่าเรื่องเป็น Story มากๆ เราสามารถที่จะโพสต์ภาพ วิดีโอ ปุ่ม หรือลิงค์ได้ในการโพสต์ครั้งเดียวเลย
.
โพสต์แล้วเมื่อผู้ใช้กดเข้าไปดู จะเห็นเห็นภาพหรือวิดีโอตามแต่ว่าตอนโพสต์เอาอะไรขึ้นก่อน ซึ่งสามารถที่จะเลื่อนซ้ายเลื่อนขวา เลื่อนขึ้นเลื่อลง ก็ได้ทั้งหมด ตามแต่ที่คนโพสต์ออกแบบวางภาพและวิดีโอเอาไว้ เสร็จแล้วก็มักจะจบด้วยปุ่ม Call to Action
ข้อมูลจาก facebook.com