สำหรับคนที่เคยยิงโฆษณากันมาบ้างแล้ว หรือทำมาโดยตลอด จะรู้ดีเลยว่า ตอนนี้ค่าโฆษณาโหดมาก และดูเหมือนจะยิ่งแพงขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะใกล้เคียงกับทางฝั่งอเมริกาแล้ว
แต่ก่อนที่เราจะยิงโฆษณาออกไป เราก็ต้องมีคอนเทนต์ก่อน ซึ่งต้องบอกเลยว่าคอนเทนต์สำคัญมากจริง ๆ สำหรับการทำการตลาดในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ เพราะถ้าทำคอนเทนต์ได้ดี ก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงมากเลยล่ะ
.
และสำหรับใครที่ไม่ทำ Value Content มาสู้ในยุคนี้ เน้นแต่การ Hard Sell อย่างเดียว ถือว่าอยู่ยากนะครับ คือก็อาจจะพออยู่ได้ ขายได้บ้าง แต่ไม่ยั่งยืน จะเป็นเพียงความสำเร็จแบบฉาบฉวยเท่านั้น ทางที่ดีแนะนำว่าให้ทำคอนเทนต์อย่างมีแบบแผนดีกว่า เริ่มตอนนี้ก็ยังไม่สายนะครับ (กดเพื่ออ่านต่อ)
อ่านต่อ
คอนเทนต์กับการยิงโฆษณา ถือว่าเป็นของคู่กันเลยทีเดียว เพราะถ้าไม่มีการวางแผน หรือตั้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนในการทำคอนเทนต์ ยิงโฆษณาให้ตายก็ไร้ผล แถมเสียเงินเสียเวลาไปฟรี ๆ อีก ซึ่งตอนนี้ค่าโฆษณาก็แสนแพงเหลือเกิน คงจะไม่เป็นผลดีแน่ถ้าเรายังฝืนทำคอนเทนต์แบบดันทุรัง แล้วใช้เงินอัดไปกับการยิง ads เพื่อให้คนเห็นเยอะ ๆ แต่เห็นไปก็เท่านั้น ไม่ได้สนใจหรือสั่งซื้อ เพราะดูเป็นการยัดเยียดการขายมากเกินไป ลูกค้าเขาไม่ชอบหรอกนะ
วันนี้ นินจาการตลาดจะมาแนะนำเทคนิคการทำคอนเทนต์ ที่จะช่วยเซฟค่าโฆษณาของคุณให้ถูกลง อาจจะไม่ใช่วิธีที่หวือหวามาก หรือเห็นผลลัพธ์แบบทันทีทันใด แต่เชื่อเถอะว่า เทคนิคเหล่านี้จะเป็นผลดีต่อธุรกิจของคุณในระยะยาวครับ
เข้าใจ Customer Journey ก่อน
.
เรื่องนี้ขอไม่ลงดีเทลลึกมากนะครับ เพราะนินจาการตลาดเล่าถึงเรื่องนี้บ่อยมาก ๆ ถ้าให้พูดซ้ำอีกในนี้ เกรงว่าบทความจะยาวมาก ๆ จนเหนื่อยที่จะอ่านกันไปซะก่อน คุณสามารถหาย้อนดูได้จากไลฟ์บนเพจเฟซบุ๊ก “นินจา การตลาด” หรือจากบทความ “จับหลัก Purchase Funnel จากแค่แบรนด์ที่เพิ่งรู้จัก กลายเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าตกหลุมรักได้อย่างไร” ได้นะครับ เพื่อศึกษาก่อนว่า พฤติกรรมของลูกค้าก่อนสั่งซื้อนั้น มีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไรบ้าง หากไม่เข้าใจหรือสงสัยตรงไหน สามารถทักมาสอบถามได้เลยครับ
สำหรับ Customer Journey นั้น ถือว่าเป็นพื้นฐานในการทำการตลาดเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ เพราะมันช่วยให้เรารู้และเข้าใจว่า เราควรโพสต์คอนเทนต์อะไร รูปแบบไหน ตามวัตถุประสงค์ในแต่ละ Journey และช่วยให้เราสร้างคอนเทนต์ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ซึ่ง Facebook ก็ใช้หลัก Customer Journey ในการยิง ads นะครับ ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจเนี่ย เราก็จะเลือก objectives หรือวัตถุประสงค์ในการยิง ads ผิด และทำให้ค่า ads แพงนั่นเอง ทางที่ดีเราควรศึกษาพฤติกรรมของผู้ซื้อให้ดี ก่อนที่จะทำคอนเทนต์ออกมา
หาจุดตรงกลางระหว่างสิ่งที่เราอยากพูด กับสิ่งที่ลูกค้าอยากฟัง
.
เจ้าของธุรกิจอย่างเรา ๆ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องราวอยากจะเล่าให้ลูกค้าฟังมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของสินค้าและบริการ ว่าเรามีดียังไง แต่อาจจะลืมนึกไปว่า ลูกค้าอยากฟังหรือเปล่า และจริง ๆ แล้วลูกค้าอยากฟังอะไร ?
ลองมาดูวงกลมสองวันนี้กันหน่อย จะเห็นว่าวงซ้ายจะเป็นมุมของสินค้า/ แบรนด์ เป็นสิ่งที่เราอยากเล่า/ พูด ส่วนวงขวาจะเป็นในมุมของลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอยากรู้/ ฟัง ที่นี้เห็นวงกลมเล็ก ๆ ตรงกลางนั่นไหมครับ ตรงนั้นแหละคือสิ่งที่เราควรนำมาทำเป็นคอนเทนต์ เพราะถ้าเราเน้นแต่ฝั่งซ้าย จ้องแต่จะขายอย่างเดียว ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น บอกเลยว่าลูกค้าไม่อยากฟังครับ
.
เราควรที่จะพูดเรื่องของลูกค้าก่อน แล้วค่อยเชื่อมโยงกลับมาที่สินค้า/ บริการของเรา ยิ่งถ้าเล่าเรื่องแบบ storytelling ได้ยิ่งดีเลย เพราะจะทำให้ลูกค้าอยากดูและอยากติดตามว่า ตอนจบจะเป็นอย่างไร และตบท้ายด้วยแบรนด์ จะทำให้ลูกค้าจดจำเราได้ดีมากขึ้น ถึงแม้วันนี้อาจจะยังไม่ได้เป็นลูกค้าของเราในทันที แต่ถ้าวันนึงลูกค้าเจอเหตุการณ์ที่ต้องใช้สินค้า/ บริการของเราในการแก้ปัญหา เขาจะ remind เราขึ้นมาเป็นแบรนด์แรกเลยล่ะ
.
นี่แหละคือข้อดีของการที่เรารู้ก่อนว่า ลูกค้าอยากฟังอะไร เพราะเมื่อเรารู้แล้ว เราก็จะทำคอนเทนต์ออกมาได้ตรงความต้องการของลูกค้า และถ้าต้องยิง ads ก็จะใช้งบน้อยลง เพราะลูกค้าสนใจเราอยู่แล้วด้วยตัวของคอนเทนต์ แต่คอนเทนต์ก็ต้องทำออกมาตามวัตถุประสงค์ในแต่ละ Journey ด้วยนะจ๊ะ รวมถึงการเลือกวัตถุประสงค์ในการยิง ads ด้วย ที่นี้หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกว่า แล้วต้องทำยังไงถึงจะรู้ว่าลูกค้าอยากฟังอะไร ไปดูที่ข้อถัดไปได้เลย …
ต้องรู้ Customer Insights
.