Content is King เป็นเรื่องจริงที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย เพราะการทำการตลาดในยุคนี้ กลยุทธ์ด้านเครื่องไม้เครื่องมืออย่างเดียว อาจจะพอถูไถไปได้บ้าง แต่การทำคอนเทนต์นั้น มีโอกาสทำให้ธุรกิจของเราเปรี้ยงปร้างได้ชั่วข้ามคืน ถ้าทำออกมาอย่างมีคุณภาพและตรงจุด แถมถ้ายังคงรักษามาตรฐานและคุณภาพของคอนเทนต์ไว้ได้เนี่ย บอกเลยว่าอยู่ได้ยาว ๆ ครับ
แต่ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าการทำคอนเทนต์ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็ทำกันเยอะแยะไปหมด จนเรียกได้ว่าเป็นทะเลคอนเทนต์เลยก็ว่าได้ ซึ่งพอลูกค้าเจอข้อมูลอะไรแบบนี้เยอะ ๆ เข้าในแต่ละวัน ทุกที่ และทุกเวลา แน่นอนว่าไม่มีใครอ่านทุกคอนเทนต์ที่ผ่านตาหรอก พวกเขาจะเลือกเสพเฉพาะข้อมูลที่ตัวเองสนใจเท่านั้น หรือบางครั้งอ่านแล้วก็ผ่านไป จำไม่ได้ว่าคอนเทนต์นี้คือของใคร แบรนด์อะไร
.
ดังนั้น เราต้องหาจุดยืนให้ตัวเองกันหน่อย ว่าจะทำอย่างไรให้เราแตกต่าง ท่ามกลางทะเลคอนเทนต์ ที่ดูเหมือนว่าการแข่งขันค่อนข้างเดือด จนอาจจะกลายเป็นมรสุมได้ ถ้าเราไม่มีการรับมือที่สตรองพอ (กดเพื่ออ่านต่อ)
อ่านต่อ
1. รู้จัก Target รู้ใจ Customer Insights
.
ไม่ว่าจะไปแตะเรื่องไหนในด้านการตลาดก็ตาม ถ้าเราไม่รู้จักกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปทำอะไรแล้วครับ เพราะทำไปก็เหนื่อยเปล่า เพราะเรากำลังสื่อสารหรือขายของให้ผิดคนผิดกลุ่มอยู่ยังไงล่ะ หรือถ้าเรารู้ว่าลูกค้าเป็นใคร แต่ไม่รู้ใจเขา เราก็ไม่มีวันได้ใจอยู่ดี
.
การทำการตลาด ก็คล้ายกับการจีบใครสักคนแหละ ถ้าอยากเรียนรู้กลยุทธ์การจีบลูกค้าอย่างจริงจัง ตามไปจับจอง หนังสือ ‘อ่อย Marketing’ by อ.ออดี้ กันได้นะจ๊ะ (ขอขายของนิดนึงนะ)
ดังนั้น ก่อนที่จะลงมือทำคอนเทนต์ ควรจะต้องไปหาลูกค้าของตัวเองให้เจอก่อนว่าเขาเป็นใคร ยิ่งถ้าแบ่งเป็น section ย่อย ๆ ได้อีกก็ยิ่งดี เช่น เพศ อายุ อาชีพ การศึกษา เป็นต้น จะทำให้เราเห็นภาพตัวตนของลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น
.
หลังจากนั้นก็มาเจาะหา Insights หรือนิสัยใจคอของพวกเขา ว่าคนกลุ่มนี้มักจะสนใจ หรือชื่นชอบเรื่องใดเป็นพิเศษ มี pain point อะไรที่อยากแก้ไขหรือเปล่า แล้วเขามีการรับรู้หรือรู้สึกอย่างไรต่อแบรนด์ของเรา หรือธุรกิจคล้าย ๆ เรา พวกเขามีแนวโน้มว่าจะใช้สินค้า/ บริการของเรามากน้อยแค่ไหน ฯลฯ ยิ่งเรารู้จักลูกค้ามากเท่าไหร่ ยิ่งได้เปรียบในการทำคอนเทนต์ครับ เพราะเราจะสามารถทำคอนเทนต์ออกมาได้ใกล้เคียงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
2. Corporate Identity (CI) ต้องเด่น
.
Corporate Identity (CI) หรืออัตลักษณ์ขององค์กร เป็นสิ่งที่สำคัญมากเป็นลำดับต้น ๆ เลยนะ เพราะมันคือภาพจำของแบรนด์หรือสินค้าเลย คนจะจดจำเราได้หรือไม่ก็อยู่ที่ตัวนี้แหละ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญเด่น ๆ อยู่ 3 ส่วนด้วยกันคือ โลโก้ (Logo), ฟอนต์ (Font) และสี (Color)
3. Character ต้องชัด
.
หลังจากที่เราได้ภาพจำของแบรนด์แบบที่แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นเรา อย่างต่อมาก็คือคาแรคเตอร์ครับ ในส่วนของคาแรคเตอร์ที่นินจาการตลาดจะพูดถึงตรงนี้ ไม่ได้เป็นพวกตัวการ์ตูนหรืออะไรทำนองนั้นนะ แต่เป็นด้านการใช้ภาษาครับ
.
เมื่อเรารู้แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร เราก็ควรจะใช้ภาษาในเลเวลเดียวกันในการสื่อสารกับพวกเขา เช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายเราเป็นวัยรุ่น อายุ 18-25 ปี แต่เราเขียนแคปชันภาษาทางการมาก คิดว่าจะมีคนสนใจไหมครับ ก็อาจจะมีบ้างถ้าเรื่องที่เราสื่อสารเป็นเรื่องที่วิชาการจัด ๆ แต่คงจะดีกว่าถ้าเราสื่อสารทุกเรื่องกับพวกเขา ด้วยภาษาของพวกเขา เพื่อให้ลูกค้าของเราเสพคอนเทนต์ได้ง่าย ไม่ต้องซับซ้อนอะไรมากมาย
นอกจากนั้น อาจจะเสริมคาแรคเตอร์เข้าไปเพิ่มเติม เช่น จากเมื่อกี้ที่เราบอกว่า กลุ่มเป้าหมายของเราเป็นวัยรุ่น อายุ 18-25 ปี เราก็อาจจะใช้ภาษาวัยรุ่นในการสื่อสารผ่านแคปชันหรือรูปภาพ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน และเพิ่มความเล่นมุกตลก ความเป็นกันเอง หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้คนอ่านรู้สึกถึงตัวตนของเรา ที่ไม่ใช่รับรู้แค่ CI แต่รู้นิสัยใจคอซึ่งกันและกัน เหมือนเพื่อนคุยกัน ก็จะยิ่งทำให้เราดูแตกต่างจากเพจอื่น และยิ่งทำให้คนจำเราได้มากขึ้นไปอีก
.
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายและภาพลักษณ์แบรนด์/ สินค้าของเราด้วย เพราะไม่ใช่ว่าทุกแบรนด์จะมาทำตัวตลกได้ หรือเราไม่สามารถตลกโปกฮาได้กับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม เพราะบางกลุ่มก็อยากได้ความจริงจังและความน่าเชื่อถือมากกว่า
4. No Copy เดี๋ยวพี่จะเดือดร้อน
.
ถ้าไม่อยากมีปัญหา อย่า copy ! ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพติดลิขสิทธิ์หรือเนื้อหาคอนเทนต์ก็ตาม เพราะถ้าโป๊ะขึ้นมามีแต่เสียกับเสีย อาจจะโดนฟ้องร้องได้เลย และที่แย่ไปกว่านั้นคือภาพลักษณ์แบรนด์เราจะพังมาก ซึ่งกู้กลับมาได้ยากมากเลยล่ะ
.
ถ้าหากจำเป็นต้องใช้รูปติดลิขสิทธิ์ ก็เช็กก่อนว่าเราสามารถนำไปใช้อย่างถูกต้องได้ยังไง เช่น บางเว็บไซต์อาจจะขอให้ใส่เครดิตให้สักหน่อย เพื่อเป็นการขอบคุณและโปรโมทไปในตัว หรืออาจจะต้องสมัครสมาชิก (จ่ายรายวัน รายเดือน รายปี) เพื่อใช้รูปได้อย่างเต็มที่ เป็นต้น
.
ส่วนเนื้อหาต่าง ๆ หากต้องเสิร์ชข้อมูลจากเว็บไซต์อื่นมาเขียน ก็ควรใช้เทคนิค Rewrite หรือเขียนใหม่เป็นภาษาของตัวเองจะดีกว่า ไม่สนับสนุนให้ copy + paste เด็ดขาด ใจเขาใจเราเนาะ ถ้ามีคนมา copy งานเราบ้างก็คงจะรู้สึกไม่ดีใช่ไหมล่ะ และที่สำคัญคือถ้าเราไป copy คนอื่นตลอด แล้วเราจะไปแตกต่างจากคนอื่นได้ยังไง และคงไม่มีลูกค้าคนไหนอยากอ่านอะไรซ้ำ ๆ จากหลาย ๆ ที่หรอก ใคร ๆ ก็ต้องการความสดใหม่กันทั้งนั้น
.
แต่ถ้ากลัวว่า Rewrite แล้วจะโดนเรื่องลิขสิทธิ์หรือเปล่า ก็อาจจะเซฟตัวเองด้วยการให้เครดิตที่มาของข้อมูลไว้ด้วยก็ได้ จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย
5. Original Content
.
อันนี้ค่อนข้างยากนิดหน่อย แต่ถ้าทำได้จะเจ๋งมาก เพราะอะไรที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Original ย่อมได้รับความสนใจอยู่เสมอ โดยเฉพาะในการทำคอนเทนต์ ถ้าเราสามารถครีเอทคอนเทนต์ได้เอง โดยไม่ต้องใช้ข้อมูลของคนอื่นมาอ้างอิงได้จะดีมาก เพราะการที่เราไปเสิร์ชข้อมูลมาจากที่อื่น แล้วมาเขียนใหม่ ยังไงมันก็คือเรื่องเดิม แค่เปลี่ยนคำพูด แต่ถ้าเราคิดเองทำเองทั้งหมด เราก็จะ unique กว่าคนอื่น ยังไงก็ลองพยายามทำคอนเทนต์ที่ยังไม่มีใครทำมาก่อนดูนะ เพราะนินจาการตลาดเชื่อว่า คนอ่านเขาก็คงอยากอ่านอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำซากจำเจน่ะ
6. Time & Frequency เวลาต้องดี ความถี่ต้องโดน
.
ระยะเวลาและความถี่ในการโพสต์คอนเทนต์ ก็ช่วยให้เราแตกต่างได้นะ ซึ่งวันนี้นินจาการตลาดจะขอแนะนำสักสองแบบง่าย ๆ ที่เห็นหลาย ๆ เพจใช้กันอยู่ก็คือ
- Always on โพสต์ทุกวันไปเลยจ้า จะได้ไม่ลืมหน้ากัน เพราะถ้าเราไม่มีความสม่ำเสมอในการโพสต์ แบบคิดอยากจะโพสต์ก็โพสต์ พอคิดไม่ออกก็ไม่โพสต์ล่ะ คือไม่มีการวางแผนการทำคอนเทนต์มาก่อน ว่าจะโพสต์วันไหนยังไงบ้าง ก็จะทำให้ลูกค้าลืมเราได้นะ เพราะถ้าเราหายไปนานแล้วอยู่ ๆ มาโพสต์ ลูกค้าอาจจะงงว่าเราไปกดถูกใจเพจนี้ไว้ตอนไหนเนี่ย มันคือเพจอะไรกัน ซึ่งถ้าเนื้อหาคอนเทนต์ดีก็รอดตัวไป แต่ถ้าไม่ได้โดนใจอะไรมากมาย โดนอันไลค์แน่นอนครับ เพราะเขาจำเราไม่ได้ไง แต่ถ้าไม่สะดวกโพสต์ทุกวันจริง ๆ ก็อาจจะทำ schedule ไว้เลยว่าจะโพสต์วันไหนบ้าง ให้มันดูมีความสม่ำเสมอ เช่น โพสต์ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ห้ามขาด ถ้าขาดก็ต้องลงวันถัดไปให้ได้ อย่าให้ขาดช่วง ก็จะยังพอให้ได้คุ้นเคยกันอยู่บ้าง ดีกว่าโพสต์แบบสะเปะสะปะ ไม่มีกำหนดแน่นอน
โพสต์เวลาเดิมตลอด อันนี้ต้องอาศัยความขยันทั้งในเรื่องการทำคอนเทนต์ และเซตเวลาโพสต์เลย ซึ่งถ้าทำได้เราจะดูโดดเด่นอยู่พอตัว คือมันก็ไม่ได้ดูเด่นโจ่งแจ้งอะไรนะ แต่พอคนเห็นคอนเทนต์เราเวลาเดิมทุกวัน มันก็อาจจะเกิด impact อะไรบางอย่างในใจได้ อย่างแอดมินเองก็ติดตามอยู่เพจนึง เขาจะโพสต์เวลาเดิมทุกวันเลย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราจะเจอเขา เวลา 7 โมงเช้าทุกวัน และรู้สึกอยากติดตามว่าแต่ละวันจะได้อ่านอะไรจากเขา มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เอาเป็นว่าลองไปตามหาเพจที่เขาโพสต์เวลาเดิมทุกวันกันดู แล้วดูว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับการเห็นโพสต์แบบนี้ เผื่อจะได้นำมาปรับใช้กับการโพสต์ของตัวเอง
อยากแตกต่างก็ต้องมีจุดยืนที่แข็งแกร่งก่อนนะ ไม่งั้นทำคอนเทนต์ไปหลงทางไปแน่นอน แถมอาจจะโดนคลื่นซัดหายไปในทะเลคอนเทนต์แน่ ถ้าเราไม่โดดเด่นพอ เพราะยุคนี้ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าคอนเทนต์แน่นตลาดมาก แทบจะทุกแพลตฟอร์มเลย ดังนั้นเราควรวางแผนกลยุทธ์การทำคอนเทนต์ให้ดี จะได้สู้กับคนอื่นเขาได้เด้อ อย่าเพิ่งยอมแพ้กันล่ะ
.