ไม่ว่าจะปีไหน คอลเลคชันไหน Uniqlo ก็ทำแต่แบบเดิม ๆ !!!! ไม่เคยจะเปลี่ยน
ไม่สนใจแฟชั่น แต่แปลก คนกลับชอบ
ในความไม่สนใจแฟชั่น Uniqlo นั้นเหมือนจะกลายเป็นข้อดีและเอกลักษณ์ของ Uniqlo ไปซะแล้ว
สำหรับใครอยากดู อยากชมในรูปแบบคลิป มีเสียงบรรยาย พร้อมภาพเคลื่อนไหวประกอบแทนการอ่านเอง ก็กด Play ได้เลยครับ
ความเรียบง่าย แต่คลาสสิก คงเป็นคำนิยามความเป็น Uniqlo ได้อย่างลงตัว เคยสังเกตุไหมครับ เวลาที่เราเดินเข้าไปในร้าน Uniqlo ทีไร ก็จะเห็นแต่เสื้อผ้าเดิม ๆ เรียบ ๆ ที่ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ ถึงบางตัวจะออกใหม่แต่หน้าตาก็เหมือน ๆ เดิม ซึ่งให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากคู่แข่งอย่าง H&M และ ZARA โดยสิ้นเชิง
แต่มันน่าสงสัยไหมครับ ? ว่าทำไมไอร้านที่มันมีแต่เสื้อผ้าเดิม ๆ เนี่ยถึงขายดิบขายดี จนสามารถก้าวจากร้านสูทธรรมดา ๆ ในญี่ปุ่น จนกลายมาเป็นบริษัท Retail อันดับ 3 ของโลกได้ แถมมีสาขาอยู่มากมายทั่วโลก รวมถึงในไทยของเราเอง ที่แม้เวลาเราเดินผ่านร้าน Uniqlo ทีไรก็เห็นคนเยอะทุกที คนเดินเข้าเรื่อย ๆ ตลอด
ซึ่งทาง Uniqlo ก็มีแนวทางการบริหารงานอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับบริษัทที่ผลิตเสื้อผ้า นั่นคือ การที่ Uniqlo นั้น ไม่สนใจแฟชั่น หลาย ๆ คนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่า
การไม่สนใจแฟชั่นของ Uniqlo นั้นคืออะไร ? และมันจะเป็นไปได้จริงหรอกับบริษัทที่ผลิตเสื้อผ้าแต่ไม่สนใจแฟชั่นเลย ?
จริง ๆ ถ้าจะให้พูดว่าไม่สนใจแฟชั่นเลยก็คงไม่ถูกนัก แต่สิ่งนี้ก็เป็นแนวทางที่ Uniqlo ยึดมั่นมาตลอด คือ ค่อนข้างที่จะไม่สนใจแฟชั่นหรือเทรนด์ที่เป็นไปอยู่ใน ณ ขณะนั้น ๆ ทำให้สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ Uniqlo แตกต่างจากแบรนด์รีเทลอื่น ๆ อย่าง H&M และ ZARA ที่จะโฟกัสไปกับการผลิตสินค้าแฟชั่นใหม่ ๆ ที่กำลังเป็นเทรนด์อยู่ในขณะนั้นให้ออกมาได้เร็วที่สุด
แต่สำหรับ Uniqlo แล้ว การผลิตสินค้าตามเทรนด์อาจจะไม่ใช่เป้าหมายหลักของเขา แต่คือการผลิตเสื้อผ้า “LifeWear” ตามสโลแกนของแบรนด์ต่างหาก โดยเป้าหมายหลัก คือการที่ผลิตเสื้อผ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในด้านไลฟ์สไตล์
ซึ่งครั้งหนึ่ง Uniqlo เองก็เคยถูกมองว่าเป็นแบรนด์เสื้อผ้าราคาถูกมาก่อน!!! แต่ในปี 2004 Uniqlo ได้ประกาศให้คำมั่นผ่าน Global Quality Declaration ว่าจะหยุดผลิตสินค้าราคาถูกและสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ ทำให้ผู้คนเริ่มเปลี่ยนมุมมองของ Uniqlo จากการเป็นแบรนด์ Fast Fashion ทั่ว ๆ ไป มาเป็นแบรนด์ที่ผลิตเสื้อผ้า “ที่มีคุณภาพและราคาจับต้องได้” แทน
แต่เดิมก่อนที่ Uniqlo จะมาใช้สโลแกน LifeWear อย่างเช่นทุกวันนี้ Uniqlo ก็เคยมีสโลแกนหลักอย่างคำว่า “Made for All” มาก่อน ซึ่งถ้าแปลแบบตรงตัว ก็แปลว่า “ผลิตขึ้นมาเพื่อทุกคน”
ซึ่งนี่ก็อาจจะต่อยอดมาจากการที่ Uniqlo ไม่ได้ไล่ตามเทรนด์แฟชั่นอย่างดุเดือดเหมือนอย่างแบรนด์คู่แข่งอื่น ๆ ทำให้สินค้าที่ออกมานั้นมีความหลากหลายและเข้าได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชาติ ไม่ว่าใครก็สามารถที่จะใส่เสื้อผ้าของ Uniqlo ได้ทั้งนั้น ต่างจากแบรนด์อย่าง H&M และ ZARA ที่จะเป็นเสื้อผ้าที่มีดีไซน์เฉพาะตัว หรือมีความเป็นแฟชั่นสูง เมื่อเวลาผ่านไปเทรนด์เปลี่ยน เราก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสหยิบเสื้อผ้าเหล่านั้นมาใส่บ่อย ๆ
นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมสินค้าของ Uniqlo นั้นมีความเรียบง่าย และสามารถหยิบมาใส่มาแมตช์ได้หลากหลายโอกาส อย่างที่เราเห็นกัน ว่ามันขายดีอยู่ตลอดก็คงจะเป็น เสื้อยืด, เสื้อกันหนาว หรือกางเกงที่เป็นแบบเรียบ ๆ ไม่มีลายอะไร ซึ่งนั่นแหละครับเป็นจุดเด่นของ Uniqlo
เมื่อถามใครต่อใครว่าทำไมถึงเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ Uniqlo ส่วนมากก็จะตอบแบบเดียวกัน คือ มีความมินิมอล ใส่ง่าย ใส่ได้ทุกวัน นี่ก็ถือได้เลยว่า สโลแกนของ Uniqlo ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อขายฝัน แต่สามารถทำได้จริงตามอย่างที่บอกเลยว่า “Made for All” และเป็น “LifeWear” อย่างแท้จริง
และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Uniqlo โดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ คือ การผสานนวัตกรรมเข้ากับเสื้อผ้า ทำให้เรามักจะเห็น ความหลากหลายของสินค้าที่ออกมาในรูปแบบของผ้าที่พิเศษ อย่าง HeatTech ก็เป็นหนึ่งในสินค้านวัตกรรมของ Uniqlo ที่มีการพัฒนาร่วมกับ Toray Industries ซึ่งเป็นบริษัทเคมีในญี่ปุ่น โดยจะเปลี่ยนความชื้นให้เป็นความร้อน และมีรูระบายอากาศในผ้าเพื่อกักเก็บความร้อน ทำให้ลูกค้าสวมใส่ได้ง่ายและสะดวกกว่า HeatTech แบบอื่น ๆ
นอกจากตัว HeatTech แล้ว Uniqlo ยังได้ผลิตสินค้าประเภท AIRism ขึ้นมา ที่ทำจากเนื้อผ้าพิเศษที่มีคุณสมบัติในการดูดซับและระบายเหงื่อได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวของผู้สวมใส่ไม่เหนียวเหนอะหนะเวลาเจออากาศร้อน รวมถึงยังได้พัฒนาตัวเทคโนโลยี UV Cut ซึ่งเป็นวัสดุที่ช่วยป้องกันแสง UV จากผู้สวมใส่ได้มากถึง 90% เลยทีเดียว!!!
ที่ผ่านมา เราคงทราบกันดีว่าในปี 2020 โลกของเราได้เผชิญกับโรคระบาด COVID-19 ทำให้การใส่หน้ากากอนามัยกลายเป็นเรื่องจำเป็น แทบจะกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของคนเราไปแล้ว แต่ปกติแล้วการใส่หน้ากากอนามัยก็คงจะทำให้เรารู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอากาศร้อน ทาง Uniqlo จึงใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่ทางแบรนด์มีคือการนำผ้า AIRism มาใช้เป็นวัสดุในการทำหน้ากากอนามัย ทำให้การใส่หน้ากากอนามัยไม่รู้สึกอึดอัดหรือรู้สึกร้อนเหมือนกับการใส่หน้ากากอนามัยรูปแบบอื่นๆ
ทำให้สินค้าของ Uniqlo เป็นมากกว่าเสื้อ กางเกง หรือหน้ากากอนามัยธรรมดา ๆ แต่ได้แฝงความต้องการทางด้านไลฟ์สไตล์เข้าไปด้วย โดยเฉพาะด้านของการที่คนเราต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นหรือร้อน ทำให้นวัตกรรมของ Uniqlo ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนได้อย่างตรงจุด
จากสโลแกน Made for All ทาง Uniqlo มีความพยายามที่จะสร้างสรรค์สไตล์ที่ตอบรับความต้องการของผู้สวมใส่แต่ละคน การ Collaboration ต่างๆ จึงถือกำเนิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทางแบรนด์จะมีการร่วมมือกับแบรนด์อื่น ๆ ในการออกคอลเลกชัน แต่จะสังเกตเห็นได้ว่าสไตล์ที่ออกมาก็ยังคงความเป็น Uniqlo ไว้อยู่
ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับ Lemaire ในการออกคอลเลกชัน “Uniqlo U” ที่ยังคงความเรียบง่ายไว้เป็นอย่างดี หรือแม้แต่การร่วมมือกับแบรนด์ Marimekko ในการออกคอลเลกชัน “Uniqlo x Marimekko” ที่สามารถคงลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ของ Marimekko และคงสไตล์ที่เรียบง่ายของ Uniqlo ได้อย่างลงตัว
ดังนั้น การออกสินค้ารูปแบบที่ดูเหมือนจะเดิม ๆ ของ Uniqlo ไม่ได้เป็นข้อเสียแต่อย่างใด แต่เป็นเอกลักษณ์และความตั้งใจของทางแบรนด์ที่ต้องการที่จะสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่เรียบง่าย ใส่ง่าย ใส่ได้ทุกวัน และยังเหมาะกับทุกคน พร้อมตอบรับความต้องการทางไลฟ์สไตล์ด้วย ถึงแม้ว่า Uniqlo จะไม่ได้เป็นแบรนด์ที่นำเรื่องแฟชั่นเหมือนแบรนด์รีเทลอื่น ๆ แต่ก็สามารถที่จะใช้ความเรียบง่ายมัดใจลูกค้าหลาย ๆ คนไว้ได้จนกลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังระดับโลก